ที่ตั้งชื่อว่า IoT (Internet of Things) อาจจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่ แต่ต้องการเทียบเคียงให้ย้อนกลับไปหายุคสมัยประมาณสักปี 2530 แม้แต่คำว่า Internet ก็ยังไม่อยากจะมีใครรู้จักกันสักเท่าไหร่ แค่ใครที่เรียนหรือทำงานอยู่สายเทคโนโลยีแล้วได้จับต้องคอมพิวเตอร์และยุ่งเกี่ยวกับโมเด็มผมว่าก็เท่ห์แล้ว

ผมอยากจะเอาประสบการณ์การทำโปรเจคสมัยเรียนช่างอิเล็กโทรนิกส์มาเขียนเล่าให้ฟังว่าการจะทำโครงงานส่งอาจารย์สักอย่างสมัยนั้นเขาทำอะไรกันและเจออุปสรรคอะไรกันบ้าง โดยขอใช้โปรเจคของผมเองเป็นตัวเดินเรื่อง

ผมเรียน ปวช/ปวส จากวิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งใน กทม.ที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากตอนนั้น เด็กยุคผมที่จบ ม.3 เดาว่าน่าจะเกินกว่า 70% นิยมเรียนต่อสายช่างและพาณิชกัน เพราะกำลังบูมและหางานทำง่าย สมัยปีที่ผมสอบเข้านั้นช่างอิเล็กเป็นช่างที่คนเลือกเรียนเป็นที่หนึ่ง อัตราการแข่งขันอยู่ที่ 1/15 ไม่รู้ว่าสอบติดเข้าไปได้ด้วยความสามารถหรือว่าฟลุ๊คเพราะผลการเรียนมัธยมต้นของผมอ่อนมาก วิทย์ คณิต อังกฤษ ผมอ่อนหมด (เคยสอบตกเลขซะด้วยซ้ำ5+) เพื่อนๆ ในห้องขำก๊ากที่คนอย่างผมจะไปสอบเข้าวิทยาลัยแห่งนี้ แต่สุดท้ายก็หลุดเข้าไปได้เพียงสองคนคือผมกับหัวหน้าห้องจากเพื่อนๆ ในห้องที่แทบจะไปสมัครสอบกันทั้งห้อง หลายครั้งผมเคยนั่งคิดว่าผมสอบติดเข้าไปได้อย่างไรและก้อคิดว่าตัวเองอาจจะมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือผมน่าจะพอมีดีทางวิชาด้านการเขียนแบบ เพราะผมเรียนมาตั้งแต่อยู่ ป.5 (ไม่รู้สมัยนั้นโรงเรียนอื่นๆ เขาสอนกันหรือเปล่า) แล้วพอมาเรียนมัธยมก็ดันได้มาอยู่ห้องบ๊วยและต้องเรียนแผนกอุตสาหกรรมอีกและก็เลยได้เรียนเขียนแบบอีก ทำให้พื้นฐานการมองรูปการเขียนภาพและตรรกะวิธีคิดดีพอใช้ได้ และสิ่งนี้เป็นประโยชน์ถูกนำไปใช้ตอนที่เราทำข้อสอบความถนัดทางช่าง เพราะข้อสอบจะมีเรื่องการมองรูปฉาย การหมุนของฟันเฟือง อนุกรมตัวเลข ฯลฯ

พอเข้ามาเรียนช่างก็โง่เหมือนเดิม วิทย์ คณิต อังกฤษ อ่อนเหมือนเดิม55+ มีเก่งอยู่สองสามวิชา (เก่งในที่นี้วัดจากที่ว่าทำเองไม่ได้ลอกใคร เพราะวิชาอื่นลอกเขาตลอด) คือ วิชาเขียนแบบและวิชาดิจิตอล ความภูมิใจของวิชาเขียนแบบคือ ผมจะเป็นหนึ่งในไม่น่าจะเกินสามสี่คนที่จะต้องไปให้ถึงวิทยาลัยแต่เช้าเพื่อให้เพื่อนๆ ลอกการบ้าน และได้ทุนรับตำราหรือหนังสือเขียนแบบเรียนฟรีตลอด และถึงขนาดที่บางครั้งมีเพื่อนต่างห้องเรียนแอบขโมยงานเขียนแบบของผมที่ส่งอาจารย์ไปลบชื่อเปลี่ยนเป็นชื่อตัวเองแล้วเอาไปส่ง (ตอนหลังโดนจับได้และปรับตกไป) ส่วนวิชาดิจิตอลด้วยเพราะไม่ต้องใช้พื้นความรู้ทางคณิตศาสตร์เดิมตอนมัธยมมาต่อยอดเท่าไหร่ ด้วยที่เพราะความเป็นดิจิตอลมันเน้นความคิดในเชิงตรรกะเสียมากกว่า ผมเลยสามารถเครื่องติดได้ง่ายไม่ต้องสะดุด (ไม่ต้องมีเรื่องสมการเข้ามายุ่งให้ปวดหัวเท่าไหร่ แต่ก็ขอย้ำว่าเฉพาะดิจิตอลนะครับ หากกลับไปเรื่องอนาล็อคเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็เดี้ยงอีก5+)

ปกติคนที่เรียน ปวช/ปวส จะต้องมีวิชาที่ต้องทำโครงงานส่งอาจารย์ ผมเองชอบประกอบวงจรเล่นตั้งแต่ ม.3 (วิทยุแร่, ไฟกระพริบ) ชอบอ่านวารสารอิเล็กโทรนิกส์ต่างๆ โครงงานของเด็กอิเล็กฯ สมัยนั้นหากเป็นระดับ ปวช. ส่วนมากก็จะดูตัวอย่างจากพวกหนังสือวารสาร หรือชุดคิทที่มีขายตามบ้านหม้อทำนองนั้น หากจะไฮโซหน่อยก็จะต้องมีการดัดแปลงปรับปรุงให้มีความแตกต่างไปจากเดิมบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าไปซื้อมาประกอบแล้วยัดลงกล่องดื้อๆ ส่งอาจารย์ ส่วนเมื่อเป็นโครงงานของระดับ ปวส.แล้วจะต้องเป็นอะไรที่คิดใหม่ทำใหม่ มีไอเดียเป็นของตัวเองคุณอาจไม่ถึงกับต้องออกแบบวงจรเอง แต่คุณต้องประยุกต์เป็น

ผมเองตั้งแต่เรียน ปวช. คิดว่าตัวเองมีความคิดล้ำหน้ากว่าเพื่อนๆ ในรุ่นส่วนใหญ่อยู่หน่อยตรงที่ว่าผมวางแผนไกลไปถึง ปวส. ว่าผมอยากทำโครงงานด้านไหน และผมต้องหาความรู้อะไรไว้ล่วงหน้า

และด้วยแรงบันดาลใจที่สมัยนั้นเห็นรุ่นพี่ๆ เขานั่งเล่นนั่งจิ้มพวก Z80 Single board (น่าจะยี่ห้อ MPF-I หรือ II ของใต้หวันหรือเปล่าจำไม่ค่อยได้) มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งรุ่นพี่เห็นผมเทียวไล้เทียวขื่อเมียงมองเขาเล่น เขาเลยสอนให้หัดป้อน Hex Code เข้าเครื่อง (เขาทำแล็บแล้วคงขี้เกียจป้อนข้อมูลเองเลยสอนผมเพื่อใช้ผมเป็นเครื่องทุ่นแรงแต่ผมก็เต็มใจ) ผมก็จิ้มๆ กดๆ ไปด้วยความสนุกแต่ไม่เข้าใจหรอกว่ามันมีความหมายอย่างไร แต่นั่นคือแรงบันดาลใจแรกที่ทำให้ผมตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเรื่อง Logic gate, Flip-Flop, ROM, RAM etc. เรียกว่าหาความรู้ล่วงหน้าก่อนที่หลักสูตรจะสอนด้วยซ้ำ ผมซื้อหนังสือเรื่อง Z80 CPU ของ อ.ยืน ภู่วรวรรณ มาอ่าน (สมัยนั้น Z80 เขาจะเรียนกันตอน ปวส.) เชื่อหรือไม่ว่าอ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจไม่รู้จะไปถามใคร อ่านไม่ต่ำกว่า 50 รอบ (จะบอกว่าเป็นร้อยรอบเดี๋ยวจะเว่อร์ไป5+) จึงค่อยๆ เริ่มเข้าใจหลักการทำงานของมัน

และในช่วงระยะเวลาที่เรียนช่าง ผมทำโครงงานใหญ่ๆ อยู่ 3 ชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นมีความต่อเนื่องกันดังนี้ครับ

โครงงานที่ 1 (ไฟวิ่ง 8 ช่องควบบคุมด้วย EPROM)
โครงงานชิ้นแรกของผมตอน ปวช.2 คือ “เครื่องควบคุมไฟวิ่ง 8 Channel ควบคุมด้วย EPROM” จุดเด่นคือมันสามารถสร้างแพทเทิร์นของรูปแบบไฟวิ่งเข้าไปได้ด้วยการอัดข้อมูล Binary เข้าไปใน EPROM ผ่านการโยกสวิทช์ เพื่อเบิร์น Logic เข้าไป (หากอัด Data เข้าไปผิดก็ถอด IC Eprom ไปตากแดดซักครึ่งวันเพื่อล้างข้อมูล ฟังดูโคตรโลเทคเลยใชมั๊งครับ 55+) โครงงานนี้ไม่ได้คิดเองหรอกนะครับ เป็นโครงงานจากในวารสารเซมิคอนดัคเตอร์ เพิ่ง ปวช.2 เองครับ ทำได้แค่นั้นก็หรูหราหมาเห่าแล้ว เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่ไปเดินซื้อชุดคิทจากบ้านหม้อมาประกอบส่งและที่จะนิยมกันสมัยนั้นก็พวกประกอบแอมป์ส่งกันเสียมากกว่า

โครงงานที่ 2 (เครื่องอ่านเขียนบัตรแถบแม่เหล็ก)
ณ.ตอนนั้น ผมก็คิดเตรียมการแล้วว่า ปวช.3 ผมจะทำโครงงานอะไร ผมอยากทำเครื่องอ่านเขียนแถบแม่เหล็กบนบัตร ATM (สมัยนี้หาซื้อเครื่องอ่านเขียนได้ถมเถไป แถมเป็นเทคโนโลยีเก่าที่เขาแทบจะเลิกใช้กันหมดโลกแล้ว แต่สมัยผมตู้ ATM เครื่องแรกของประเทศไทยเพิ่งจะติดตั้งที่ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์เป็นที่แรกนะครับ)

แต่การจะทำเครื่องอ่านเขียนแถบแม่เหล็กได้ ความรู้ทางดิจิตอลก็ยังไปไม่ถึงขนาดที่จะหยิบ Microprocessor มาใช้งานเป็น ความรู้อย่างมากที่มีตอนนั้นคือพวกวงจร Shift register ต่างๆ และ D/A และ A/D โดยการใช้ IC เบอร์ 565 หรือ 566 (ถ้าจำไม่ผิด) นอกจากนั้นยังต้องมีความรู้ด้านกลไกแมคคานิคส์ แล้วพวกบัตรแถบแม่เหล็กละครับจะไปหามาจากที่ไหน จะทำอย่างไรละทีนี้?

ความคิดแบบลูกทุ่งๆ ตอนนั้นคือเอาวะ ไปเดินคลองถมหาซื้อกลไกโครงเทปคาสเซ็ท หรือพวกปริ้นท์เตอร์ที่เขาแยกร่างแล้ววางขายมายำผสมให้ออกมาเป็นราง Feeder ส่วนบัตรแถบแม่เหล็กก็ตัดกระดาษแข็งและเส้นแถบแม่เหล็กก็แกะเอาเส้นเทปของเทปคาสเซ็ทแล้วแปะกาวติดเข้าไปก็แล้วกัน 55+ (จนเน๊อะ)

ไปซื้อแผ่นอคิลิกจากวงเวียน22 เอามาฉลุทำโครงรางฟีดเดอร์ สายพงสายพานลูกยางเทปหาซื้อทั้งจากบ้านหม้อและคลองถม ในที่สุดส่วนที่เป็นแมคคานิคส์ก็เสร็จแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเวลาสอดบัตรเข้าเครื่องแล้วมันวิ่งส่ายไปมา และความเร็วของการวิ่งผ่านหัวอ่านก็ไม่คงที่เพราะว่าเกิดจากช่วงส่งต่อของล้อยางที่ดึงแผ่นบัตรซึ่งขาป้อนเข้ามีสองจุด และขาออกอีกหนึ่งจุด ทำให้ความเร็วไม่คงที่ (เหมือนกับรถยนต์ทีเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนสองล้อเดี๋ยวสี่ล้อ ตอนนั้นถ้ามีเพื่อนเป็นช่างกลคงจะช่วยได้เยอะ5+)

เวลากำหนดส่งก็ใกล้เข้ามา สุดท้ายเลยตัดสินใจส่งอาจารย์เฉพาะส่วนที่เป็นวงจรควบคุม ซึ่งหัวใจหลักก็คือการนำบอร์ดวงจรภาคส่ง ซึ่งทำการแปลงข้อมูล Parallel to Serial แล้วแปลงเป็น FSK แล้วต่อสายเชื่อมต่อเข้ากับอีกบอร์ดแล้วให้ Decode สัญญานกลับไปแสดงผลที่ 7 Segment แค่นี้อาจารย์ก็ให้ A แล้ว เพราะเขาพิจารณาจากจุดประสงค์ แนวคิด และองค์ความรู้ที่เรามีตอนนั้น

โครงงานที่สาม (เครื่องสั่งอุปกรณ์ไฟฟ้า 8 ช่อง ด้วยโทรศัพท์)
โครงงานสุดท้ายนี้เป็นที่มาของรูปลายวงจรตรา “ตรีน” ที่ผมภูมิใจนำเสนอ 55+ หากใครเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ และอ่านมาแต่ต้นคงพอจะมองภาพเห็นแล้วว่า แต่ละโครงงานของผมมีความต่อเนื่องขององค์ความรู้ที่จะต้องนำมาใช้ ขอเลี้ยวออกไปนอกเรื่องเป็นระยะๆ นะครับ สมัยนั้นคนเก่งๆ ที่จบ ปวช. มักจะเริ่มวางแผนแล้วว่าหากจะต่อ ป.ตรี วิศวะ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเรียนต่อในสถาบันเดิม เพราะวิทยาลัยที่ผมเรียนเน้นเรื่องภาคปฎิบัติมากกว่าภาควิชาการ ดังนั้นหากใครมีเป้าหมายอยากสอบเข้าไม่ว่าจะลาดกระบัง บางมด พระนครเหนือ หรือที่อื่นๆ ที่ดังๆ ในยุคนั้น ควรจะไปสอบเข้าอย่างเช่นเทคนิคกรุงเทพฯ อะไรพวกๆนั้น เพื่อไปเตรียมความพร้อมจากการปรับพื้นฐานภาคทฤษฎี ให้แน่นๆ เพื่อนๆ ที่เป็นหัวกระทิของร่วมห้องที่ผมเรียนแทบไม่มีเหลือไปต่อที่อื่นกันหมด เหลือเด่นๆ อยู่ไม่น่าจะถึง 4-5 คน ส่วนผมไม่ใช่พวกเด็กเรียนเก่งและก็ไม่ใช่เด็กที่ใกล้ชิดของอาจารย์ (ไม่ได้ว่าไม่ดีนะครับ เพียงแต่จะบอกว่าเพื่อนๆ กลุ่มนี้เขาก็จะมีอภิสิทธ์ ที่เหนือกว่าคนอื่นอยู่บ้าง)

ความรู้สึกของผมตอนนั้นรู้สึกต่อต้านแนวคิดที่ว่า หากอยากสอบติดวิศวะ ต้องไปหาที่เรียนที่อื่นไม่ใช่ที่เดิมๆ ผมกลับคิดว่าสถาบันที่ผมเรียนอยู่มันก็โอเคแล้วที่นี่ไม่ดีอย่างไรหรือ ทำไมต้องไปที่อื่น อาจารย์ก็เก่งๆ เราเองก็โง่ๆ ไปสอบที่อื่นก็คงสู้ใครเขาไม่ได้ อย่าเลยอยู่มันที่นี่ละกัน ก็เลยสอบต่อ ปวส.ที่เดิมโดยไม่ไปลองสมัครสอบที่ไหนเลยเหมือนอย่างเพื่อนๆ คนอื่นเขา (จริงๆ ก็เสี่ยงอยู่นะ หากสอบไม่ติดทำไงหว่า 5+)

วกกลับมาเรื่องโครงงาน จากที่เล่าว่าผมเริ่มศึกษาเรื่อง Microprocessor ตั้งแต่ ปวช. พอขึ้น ปวส. ผมคิดแล้วว่าโครงงานที่ผมจะทำพอขึ้นปี 2 อยากจะทำอะไร ในขณะที่เพื่อนๆ คนอื่นๆ ยังไม่มีใครคิดไรกันเลย ตอนนั้นผมอยากมี Single bord computer กับเขาสักเครื่องเพื่อไว้หัดเขียนโปรแกรม ในยุคนั้นหากเป็น Single bord ที่ใช้ตามสถาบันการศึกษาก็น่าจะเป็นของนำเข้าจากใต้หวันมั๊งครับ (น่าจะยี่ห้อ MPF) ไม่มีปัญญาหาซื้อมาเล่นเองเพราะมันแพงมาก แต่ก็มีของบริษัทในไทยอยู่ 2 บริษัทซึ่งน่าจะเพิ่งกำลังเปิดตัวและเป็นที่นิยม คือของบริษัท ETT และ SILA Research แต่ถ้าจำไม่ผิดของทาง Sila Research เขาน่าจะเน้นที่พวก MCS-51 มากกว่า นั่นหมายความว่าหากคนมีเงินอยากจะซื้อของพวกนี้มาเล่นก็จะต้องเป็นบอร์ดของสองบริษัทนี้ ราคาน่าจะประมาณสองพันกว่าบาทได้ เงินแค่สองพันผมก็ไม่มีปัญญาหรอกครับ (เรียน ปวส.ได้ตังค์ไปเรียนวันละ 20 บาท)

แต่ยังพอมีความหวังครับ สมัยนั้นถ้าผมจำไม่ผิดมีรุ่นพี่ได้เอาแผ่น Bare PCB ของ Single board ซึ่งเขาบอกว่าเป็นบอร์ดที่ออกแบบจากมหาวิทยาลัยเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (ไม่แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้องหรือเปล่า) มาให้ดูและบอกว่าหากใครสนใจสามารถสั่งแผ่น PCB นี้ได้ ผมก็ไม่รีรอซิครับ สั่งกับเขาด้วย พอได้บอร์ดมาก็ค่อยๆ ทยอยซื้ออุปกรณ์ ข้อดีของบอร์ดนี้คือ นอกจากจะใช้ CPU Z80 แล้ว Chip ที่ทำหน้าที่เป็น PIO ยังใช้ Z80 PIO อีกด้วย ในขณะที่ของค่ายอื่นจะนิยมใช้ 8255

การใช้ Z80 PIO มีข้อได้เปรียบเรื่องของการสร้างสัญญาณ Interrupt ไปที่ CPU ได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องเขียนโปรแกรมให้ CPU ต้องคอยมาตรวจเช็คสถานะ ทำให้ตอนเขียนโปรแกรมเขียนได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นการวาง Layout ของบอร์ดยังวางเป็นแบบ A4 แนวนอน ในขณะที่บอร์ดของค่ายอื่นๆ มักวาง Layout เป็นแนวตั้ง

พอบอร์ดสำเร็จ ผมก็หัดเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Assembly นักเรียนสมัยนี้คงไม่มีใครรู้จักกันแล้วมั๊ง อย่าว่าแต่ Assembly เลย ผมว่าพวกภาษา C ก็อาจจะไม่นิยม แล้วหันไปศึกษาไพธอนกันเสียส่วนใหญ่สำหรับแนวสมัครเล่น แต่สำหรับผม เขียนด้วยมือเปิดตารางแปลงเป็น HEX, Binary ด้วยมือ (พลิกตารางกลับไปมาจนกระดาษเปื่อย 5+) ไม่มีครับคอมพิวตงพิวเตอร์ จำได้ว่าสมัยนั้นทั้งวิทยาลัย แผนกอิเล็กนี่หรูสุดแล้ว มีเครื่องคอมพิวเตอร์วางโชว์เป็นของวิเศษไว้ในห้องติดแอร์อย่างดี มีอยู่ 2 เครื่องได้มั๊ง มีไว้ให้เฉพาะศิษย์รักศิษย์โปรดของอาจารย์ไว้นั่งเล่นเกมส์แพคแมน (ผมเองจำจนตาย พักกลางวันรีบกินข้าวเที่ยงเพื่ออยากเข้าไปดูเพื่อนหรือรุ่นพี่ว่าเขาเล่นคอมอะไรกันบ้าง ไม่ได้จับแค่ขอนั่งมองเขาจิ้มกันก็ยังดี พอเปิดประตูห้อง คำแรกที่เพื่อนทักคือ “มาหาใคร จะเอาอะไร? เหวอพูดไม่ออกหันหลังเดินลงบันใดไปนั่งซุ้มก็ได้วะ จนเรียนจบ ปวส. ก็ไม่คิดจะย่างกรายเข้าไปห้องนั้นอีกเลย หากไม่จำเป็นหรือโดนเรียกเข้าไป 55+)

กลับมาที่โปรเจค มีอยู่วันหนึ่งนั่งดูข่าวอยู่หน้า TV มีข่าวแว๊ปๆ ผ่านตาเข้ามา เป็นการนำเสนอข่าวของนักศึกษาจากวิทยาลัยเทเวส (ไม่รู้ว่าชื่อถูกหรือไม่) ได้ทำโปรเจคเครื่องสั่งงานอุปกรณ์ไฟฟ้าผ่านเครื่องโทรศัพท์

ผมได้ดูได้ฟังแล้ว “โอ้วพระเจ้าช่างวิเศษเหลือหลาย” ผู้อ่านฟังแล้วคงคิดว่าไม่เห็นจะแปลกตรงไหน อุปกรณ์ด้าน IoT สมัยนี้มีออกเกร่อ แต่คุณผู้อ่านอย่าลืมคิดซิครับว่า ณ.ตอนนั้นประมาณปีก่อนปี 2530 ตอนนั้น มือถือ คอมพิวเตอร์ อินเทอเน็ตยังเป็นของไกลตัวอยู่นะครับ ช่วงเวลานั้นแพคลิ้งค์เพิ่งกำลังได้รับความนิยมมั๊งครับ

ตอนที่ดูข่าว ผมมองตัวโครงงานของของนักศึกษาคนนั้นใน TV คุณรู้มั๊ยมันใหญ่โตขนาดไหน ผมประมาณว่าขนาดน่าจะกระดาษ A1 ได้

นั่นละครับคือจุดเริ่มต้นของโปรเจคของผม ผมอยากจะทำเครื่องควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าผ่านการสั่งงานจากโทรศัพท์อย่างเขาบ้าง ผมก็เริ่มวางแผนแล้วว่าผมต้องหาความรู้อะไรบ้างเพื่อมาเติมเต็มโครงงานของผม

ผมเริ่มหัดเขียนโปรแกรมเพื่ออ่านค่าปุ่มกดต่างๆ และการแสดงผลออกไปยัง Display (7 Segment) เท่านั้นยังไม่พอ ผมต้องเข้าใจหลักการทำงานของเครื่องโทรศัพท์บ้าน ต้องหาวิธีที่จะ Interface มันเข้ากับวงจรควบคุมให้ได้ คุณรู้มั๊ยครับว่าสมัยนั้นมันยากโคตร ไม่มีแหล่งความรู้ทาง Internet อย่างทุกวันนี้ให้ค้นหาเลย ทางเดียวคือการหาอ่านบทความจากหนังสือวารสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ศึกษาโครงงานที่เกี่ยวข้อง แล้วดัดแปลงวงจรลองผิดลองถูก บ้านผมก็ไม่มีโทรศัพท์ใช้ จะทดลองทีก็แบกกระบะทดลองขึ้นรถเมล์ไปวิทยาลัยเพื่อไปขอต่อกับสายโทรศัพท์ตามห้องพักอาจารย์ หลายครั้งที่ทดลองแล้วไม่เป็นไปตามที่คิด หน้าก็เสียใจไม่ดี แต่ก็ยังดีที่เพื่อนๆ ก็ให้กำลังใจบ้าง

หลังจากนั้นโครงงานผมก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างทางด้าน Software แต่ในส่วนของ Hardware บอร์ดหลักที่ใช้ควบคุมก็คือ Single board ที่ผมทำไว้ตั้งแต่เมื่อตอนปี 1 และอีกสองบอร์ดที่ต้องสร้างเพิ่มเติมเพื่อใช้ Interface กับคู่สายขององค์การโทรศัพท์ และ Relay board เพื่อควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า ในตอนนั้นผมใช้แผ่นปริ้นอเนกประสงค์ต่อทดลองวงจร ตามประสาคนงบน้อยครับผมไม่มีปัญญาจะออกแบบวงจร PCB เหมือนคนอื่นเขา เพราะห้องคอมพิวเตอร์ไม่เคยเปิดต้อนรับสำหรับนักเรียนที่ไม่ใช่ ผมเลยคิดว่าผมจะจับ Single board ยัดลงไปกล่องเหล็กเลยทั้งดุ้น และซ้อนเป็นชั้นๆ ด้วย Interface board อีกสองบอร์ด แต่ Interface 2 บอร์ดนั้นผมจะต้องทำการออกแบบวงจร PCB แต่ทำไม่เป็น เลยวาดร่างคร่าวๆ ลงในกระดาษแล้วเอาไปไหว้วานเพื่อนคนนึงซึ่งเขาเป็นคนเก่งมากและก็มีน้ำใจกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ผมให้เขาช่วยเขียนวงจรลงในคอมพิวเตอร์ให้ ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นใช้ซอฟแวร์ OrCAD หรือว่า Protel เสร็จแล้วก็ทำฟิมล์ทำซิลสกีนเพื่อกัดลายวงจรออกมา จะเห็นว่าขั้นตอนทั้งหมดผมไหว้วานเพื่อนฝูงให้ช่วยเหลือเกือบทั้งหมด ดังนั้นไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ขอมีส่วนร่วมความเป็นผู้ออกแบบกะเขาด้วยนิดนึงละกัน ผมเลยวาดรูป “ตรีน” ลงไปที่ฟิลม์ลายวงจรเพื่อไว้เป็นอนุสร หลังจากที่ส่งโครงงานงานแล้ว (ได้เกรด 4 เช่นเดิมครับ 5+) โครงงานก็ถูกแยกร่างออกเพื่อนำ Single board กลับมาใช้งานเพื่อการศึกษาอื่นๆ จนทุกวันนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ขนาดตัว Relay ที่อยู่่บนบอร์ดผมก็ถอดไปใช้งานอื่นๆ แต่สิ่งเดียวที่ผมยังเก็บไว้ไม่สูญหายไปไหนก็คือเจ้า PCB แผ่นนี้แหละครับ เพื่อไว้รำลึกเหตุการณ์ในวันเก่าๆ ที่ไม่ได้สำคัญสำหรับใคร แต่เป็นความภูมิใจของผมเอง 55+

ความภูมิใจอีกอย่างของโครงงานชิ้นนี้คือ ตอนที่มันใกล้ๆ จะเสร็จได้มีอาจารย์ฝึกสอนจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ขอยืมเอางานของผมไปส่งเป็นโปรเจคขัดตาทัพของเขา แต่ก็คงไม่ได้เอาไปส่งแบบจริงจังหรอกครับ ผมเข้าใจว่าเอาไปส่งแค่เพื่อแสดงความก้าวหน้าของงานโปรเจคเขานะครับ แต่งานที่เสร็จเป็นชิ้นงานจริงก็คงจะของอาจารย์ที่เขาทำเอง

น่าเสียดายครับที่ไม่ได้ถ่ายรูปโครงงานเก็บไว้ดูต่างหน้า รูปภาพต่างๆ ที่ผมลงไว้ด้านขวา เป็นบอร์ดต่างๆ ที่ผมใฝ่หามาเล่นหลังจากเรียนจบแล้ว พอได้มาทำงานโรงงานผมหันมาเล่นพวก Microcontroller MCS-51 เสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะในงานที่ผมทำ product ต่างๆ มักจะให้ Z80 และ MCS-48,49

ทั้งหมดที่เอามาเขียนเล่าให้ฟังเผื่อว่าจะมีใครที่เคยรเรียนมาทางสายเดียวกัน หรือคนรุ่นปัจจุบันที่สนใจในงานทางด้าน IoT ได้เปรียบเทียบให้เห็นว่าคนรุ่นก่อนๆ ที่เขาสนใจเรื่องพวกนี้ไม่ง่ายที่จะเข้าหาองค์ความรู้พวกนี้ (หรือเฉพาะผมคนเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ 5+) ปัจจุบันอะไรก็ง่านไปหมดมี Raspberry Pi, Arduino และอื่นๆ อีกมายมายให้เลือกใช้ การใช้งานก็แสนงาน อยากทำฟังชั่นยากๆ อะไรก็เรียกใช้งานจาก Library ที่เขาเขียนไว้ให้แล้วเอามาใช้งานได้เลย

ผมไม่มีโอกาสได้เล่นของพวกนี้อีกเนื่องด้วยเวลาและงานที่เปลี่ยนไปจากสิ่งที่เรียนมา ทำให้เราต้องเอาเวลาว่างไปศึกษาหาความรู้อื่นๆ แต่ก็ติดตามข่าวสารความเป็นไปอยู่เรื่อยๆ เพื่ออัพเดทว่าโลกเขาไปกันถึงไหนและ
